เทคโนโลยี 3G คืออะไร
หากกล่าวถึงเทคโนโลยี 3G ที่ใช้บนมือถือ หลายๆท่านน่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาไม่มากก็น้อย ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยี 3G เริ่มมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ เปิดตัวมาพร้อมฟังก์ชั่นรอง รับการใช้งาน 3G ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โทรศัพท์มือถือของ Apple หรือ iPhone นั่นเอง โดยก่อนที่จะมาเป็นยุค 3G เครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีวิวัฒนาการดังนี้
1. ยุคแรก (First Generation: 1G)
นับว่าเป็นยุคบุกเบิกของการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ว่าได้ โดยเครือข่ายจะใช้การรับส่งสัญญาณเป็นแบบอนาล็อก (Analog) เริ่มมีการใช้งานเมื่อปีพ.ศ. 2523 - 2533 โทรศัพท์ในยุคนี้จะมีขนาดใหญ่จนเกือบเท่ากับกระเป๋าเอกสาร ทำให้ไม่สะดวกที่จะ พกพาไปไหน อีกทั้งราคาก็ยังสูงมากด้วย และการใช้งานนั้นสามารถใช้ได้เพียงการโทรออก-รับสายเท่านั้น
2. ยุคที่สอง (Second Generation: 2G)
ในยุคที่สองของการพัฒนาโทรศัพท์มือถือ ได้มีการพัฒนาเครือข่ายจากเดิมที่ใช้ระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอล (Digital) ทำให้สามารถส่งข้อความสั้น (Short Message Service: SMS) ได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของ เทคโนโลยี 2G อยู่ที่ 10 กิโลบิตต่อวินาที หรือเทียบจากการดาวน์โหลดเพลง MP3 ความยาว 3 นาที ก็จะใช้เวลาดาวน์โหลด ทั้งหมด30-40 นาที ในยุคของ 2G จะจำแนกเครือข่ายออกเป็น 2 ระบบคือ
ระบบ GSM (Global System for Mobile Communications) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในทวีปยุโรป และเอเชีย ซึ่งมีความสามารถในการใช้โทรข้ามเครือข่าย (Roaming) ได้
ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) เป็นระบบที่ใช้ในประเทศอเมริกาและเกาหลีใต้ ซึ่งระบบนี้ไม่สามารถที่จะใช้โทรข้ามเครือข่ายได้ แต่จะมีคุณภาพของสัญญาณเสียงและข้อมูลที่ดีกว่า
3. โทรศัพท์มือถือยุคที่ 2.5 (2.5 Generation: 2.5G)
ยุคของ 2.5G นั้นได้พัฒนาด้านการรับ-ส่งข้อมูลให้มีความเร็วมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า GPRS และ EDGE เข้ามาใช้ ทำให้โทรศัพท์มือถือในยุคนี้สามารถใช้เล่นอินเตอร์เน็ตได้ ทั้งยังใช้ Application ที่ต้องอาศัยการเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ตในการใช้งาน อาทิ เช็คอีเมล Web Browsing แผนที่และระบบนำทาง GPS การใช้งาน Streaming แบบ real-time ซึ่งหากเทียบความเร็วของการดาวน์โหลดของเครือข่าย 2.5G จากการดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ความยาว 3 นาที จะใช้เวลาดาวน์โหลดประมาณ 6-10 นาที โดยการใช้งาน EDGE/GPRS ต้องทำการ Connect และ Disconnect ทุกครั้ง เนื่องจากระบบจะคิดค่าใช้จ่ายจากระยะเวลาที่เริ่มการติดต่อ จนกระทั่งยกเลิกการติดต่อ
4. ยุคที่สาม (Third Generation: 3G)
ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาโครงข่าย (Network) จากเดิมที่เป็น Circuit Switching Network เป็นระบบ Packet Switching Network ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำให้สามารถเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตด้วยสัญญาณที่ดีขึ้น การรับ-ส่งข้อมูลจึงสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น (2 เมกกะบิตต่อวินาที) จึงสามารถดาวน์โหลดไฟล์ Multimedia ได้อย่างสบายๆ การเชื่อมต่อ Network ของยุค 3G จะเป็นแบบ Always on ซึ่งสามารถเปิดระบบได้ตลอดเวลา (ต่างจาก 2.5G ที่ต้องทำการยกเลิกการติดต่อทุกครั้ง) ระบบจะคิดค่าจ่ายต่อเมื่อมีการรับ-ส่งข้อมูลเกิดขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างความสามารถของมือถือในยุคนี้ เช่น โทรศัพท์มือถือที่สามารถคุยวิดีโอได้ (VDO Phone) ซิมเบอร์เดียวเชื่อมต่อทั้งโลก (Global Roaming สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็ปไซต์ www.globalroaming.mobi) การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง (Hi-speed web) การระบุตำแหน่งและแผนที่นำทาง (Navigations/Maps) การประชุมผ่านวิดีโอ (VDO Conference) การดูโทรทัศน์แบบเลือกรานการได้ (TV on demand) หรือการเรียนรู้ผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เมื่อเทียบความเร็วในการดาวน์โหลดของโทรศัพท์ในยุคนี้จากการดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ความยาว 3 นาที จะใช้เวลาดาวน์โหลดเพียง 10 วินาที ถึง 1 นาทีเท่านั้น
ในปัจจุบันได้มีการแบ่งมาตรฐานของ 3G ออกเป็น 2 ระบบ คือ
ระบบ WCDMA (Wideband Code Multiple Access) ซึ่งพัฒนามาจากระบบ GSM -> GPRS ->EDGE -> WCDMA
ระบบ CDMA2000 1x EV-DV พัฒนามาจากระบบ CDMA One -> CDMA2000 1x ->CDMA2000 1x EV-DO และ CDMA2000 1x EV-DV (Evolution Paths)
Cellular Evolution Paths 2G to 3G
5. โทรศัพท์มือถือยุคที่ 4
ในยุคนี้ยังคงอยู่ในขั้นพัฒนาด้านความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับพันล้านบิตต่อวินาที ทำให้รองรับการระบบ Multimedia ในแบบ 3 มิติ (3D) ได้ราบรื่นการกระจายสัญญาณทีวีที่ให้รายละเอียดสูง ในระดับ HDTV (High Definition Television) และระบบความปลอดภัยจากการใช้งานมากขึ้น ทาง I.T.U. (International Telecommunication Union) ตั้งเป้าว่าน่าจะมีการเริ่มใช้บริการได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (ขณะนี้ในประเทศอังกฤษกำลังทดสอบระบบ 4Gแต่คาดว่าจะใช้ได้ประมาณปี พ.ศ.2555) ส่วนมาตรฐานยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดที่แน่นอน แต่โครงสร้างพื้นฐานจะเป็นแบบ Packet Switching Network รวมทั้งการใช้ IPV6 (Internet Protocol Version 6) มาแทน IPV/4 ที่กำลังใช้ในปัจจุบัน (IPV4 Address ใกล้หมดแล้ว)
ข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยี 3G
ข้อดี
ช่วยทำให้การ Online ทุกที่ทุกเวลาด้วยระดับคุณภาพบริการ Hi-speed เป็นไปได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้นด้วยข้อดีของบริการดังนี้
1. มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับเครือข่าย 3G ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องโทรศัพท์ (Always On)
2. การคิดค่าบริการจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น แตกต่างกับระบบทั่วไปที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่ Login เข้าในระบบเครือข่าย
3. อุปกรณ์สื่อสารไร้สายมีรูปแบบอื่นๆ Plamtop, PDA, Laptop และ PC
4. รับส่งข้อมูลในความเร็วสูงรวดเร็ว ทำให้สามารถแสดงภาพกราฟฟิก แสดงแผนที่ตั้ง เป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด
ข้อเสีย
เป็นเครือข่ายที่ใหญ่มาก มีบุคคลทุกเพศทุกวัย แทบทุกอาชีพที่ใช้งาน ข้อมูลที่สามารถใช้ได้กับบุคคลวัยหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมกับบุคคลอีกวัยหนึ่ง โดยเฉพาะเด็ก
1.ภัยที่เกิดจากการติดต่อกับคนแปลกหน้า ซึ่งมีเจตนาที่จะหลอกลวงหรือต้องการข้อมูลส่วนตัวของเรา
2.สื่อลามกอนาจาร การพนัน เข้าถึงผู้ใช้ได้ง่าย 3.เป็นช่องทางของมิจฉาชีพ ล่อลวง ลักพาตัวจากการ chat
3.ทำให้เกิดการใช้ภาษาผิด ๆได้จากการเล่นพูดคุย สื่อสารผ่านโปรแกรมสนทนาออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น